วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Lesson 4


บันทึกอนุทิน

วิชา  การจัดประสบการณ์การศึกษาเเบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
( Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood )
อารจารย์ผู้สอน  อ.กฤต  แจ่มถิน
ประจำวัน  พุธที่   3   กุมภาพันธ์  2559
เรียนครั้งที่  4   เวลา  08.30 -12.30 น.
กลุ่ม  102  ห้อง 224





  Knowledge  (ความรู้)


ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ


 เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)

     ความบกพร่องทางการพูด

              หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติในด้านความชัดเจนในการปรับ ปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่

  1.ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders)
  • เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
  • ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน"  "จิน"  กวาด ฝาด
  • เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย "หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
  • เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว" เป็น "แล่ว"
  2.ความบอกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (Speech Flow Disorders)
  • พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอนไม่เป็นไปตามโครงนสร้างของภาษา 
  • การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
  • อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
  • จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
  • เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย
  3.ความบกพร่องของเสียงพูด (Voice Disorders)
  • ความบกพร่องของระดับเสียง
  • เสียงดังหรือค่อยเกินไป
  • คุณภาพเสียงไม่ดี พูดแล้วไม่น่าฟัง

    ความบกพร่องทางภาษา

             หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำพูดและ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้

   1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language)
  • มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
  • มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
  • ไม่สามารถสร้างประโยคได้
  • มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
  • ภาษาทีใช้เป็นภาษาห้วนๆ
  2.ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมากจากพยาธิภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ aphasia
  • อ่านไม่ออก (alexia) *โตแล้วก็ยังทำไม่ได้
  • เขียนไม่ได้ (agraphia) *โตแล้วก็ยังทำไม่ได้ 
  • สะกดคำไม่ได้
  • ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
  • จำคำหรือประโยคไม่ได้
  • ไม่เข้าใจคำสั่ง
  • พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้
     Gerstmann's syndrome *อาการหนักสุด !!
  • ไม่รู้จักชื่อนิ้ว (finger agnosia)
  • ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria) 
  • คำนวณไม่ได้ (acalculia)
  • เขียนไม่ได้ (agraphia)
  • อ่านไม่ออก (alexia)
     ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
  • ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบาๆ และอ่อนแรง
  • ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
  • ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
  • หลัง 3 ขวบแล้วภาษาของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก (เข้าใจอยู่คนเดียว)
  • ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
  • หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เปนประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
  • มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
  • ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย (ใช้ภาษามือ)


เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments)


  • เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
  • อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป (แขน ขา ขาด)
  • เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
  • มีปัญหาทางระบบประสาท (ไม่ใช่บ้า)
  • มีความลำบากในการเคลื่อนไหว (เดินกะเพก)

  โรคลมชัก (Epilepsy)
  • เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
  • มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินไปปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน (สมองส่งกระแสกประสาทผิดเพี้ยน ยังไม่สามารถระบะสาเหตุได้ชัดเจน)
     1.การชักในช่วงเวลาสั้นๆ (Petit Mal)
  • อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10 วินาที
  • มีการกระพิบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
  • เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก 
  • เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
    2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
  • เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหายและนอนไปชั่วครู (บางคนอาจกรีดร้อง หรือ เกร็ง)
    3.อาการชักแบบ (Partial Complex)
  • มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
  • เหม่อนิ่ง
  • เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้ไม่ตอบสนองต่อคำพูด
  • หลักชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก (หน้าตาเหมือนเมาเหล้าเวลาชัก)
    4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
  • เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
    5.ล้มบ้าหมู (Grand Mal)
  • เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น


  การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐานในกรณีเด็กมีอาการชัก
  • จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
  • ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
  • หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆ รองศีรษะ
  • ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจากปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
  • จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
  • ห้ามนำวัตถุใดๆ ใส่ในปาก
  • ทำการช่วยหายใจดดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ

 ซี.พี. (Cerebral  Palsy)
  • การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือ หลังคลอด
  • การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่างๆ ของสมองแตกต่างกัน (ไม่ส่งผลต่อ IQ


   1.กลุ่มแข็งเกร็ง (Spasitc)
  • Spastic hemiplegia อัมพาตครึ่งซีก (แขนขวา ขาขวา , แขนซ้าย ขาซ้าย)
  • Spastic dipleagia อัมพาตครึ่งท่อนบน (แขนขวา , แขนซ้าย)
  • Spasitc paraplegia อัมพาตครึ่งท่อนล่าง (ขาขวา , ขาซ้าย)
  • Spastic quadriplegia อัมพาตทั้งตัว


     2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง (Athetoid , Ataxia)
  • Athetoid อาการขยุกขยิกช้าๆ หรือ เคลื่อนไวเร็วๆ ที่เท้า แขน มือ หรือ ใบหน้าของเด็กบางรายอาจจมีคอเอียงปากเบี้ยวร่วมด้วย
  • Ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน

                                        


 3.กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed)
   
    กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy)
  • เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนๆนั้น เสื่อมสลายตัว
  • เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
  • จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม

    โรงทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic)
            ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) สามารถรักษาได้ กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
  • ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการดูกพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection)  เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระพูกผุ เป้นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุ
  • กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ

    โอลิโอ (Poliomyelitis)
  • มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
  • ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม

  โรคอื่นๆ

  • โรคระบบทางเดินหายใจ
  • โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
  • โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)
  • โรคมะเร็ง (Cancer)
  • เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)
  • แขนขาด้วนตั้งแต่กำเนิด (Limb Deficiency)

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
  • ท่าเดินคล้ายกรรไกร
  • เดินกะเผลกขา หรืออืดอาดเชื่องช้า
  • ไอเสียงแห้งบ่อยๆ
  • มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
  • หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจากบนแก้ม ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
  • หกล้มบ่อยๆ
  • หิวและกระกายน้ำอย่างเกินกว่าเหตุ





Skill  (ทักษะ)

      - ทักษะการคิดวิเคราะห์
      - ทักษะการตอบคำถาม


    Application  (การประยุกต์ใช้)

           นำความรู้ที่ได้เรียนไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนกับเด็กพิเศษ  เราจะต้องจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับอาการของเด็กเเต่ละคน สอนให้เด็กเข้าใจและสอนให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้  เมื่อเด็กมีอาการกำเริบเราสามารถนำความรู้ที่มีมาปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้


    Technical  Education  (เทคนิคการสอน)
     
        - เทคการใช้สื่อในการสอน
        -เทคนิคการอธิบาย
        - เทคนิคการใช้ตัวอย่าง


     Evaluation (การประเมิน)

        Self  :  ตั้งใจเรียน   แต่งกายเรียบร้อย  เข้าใจในเนื้อหาที่เรียน
        Friend  :  ตั้งใจเรียน   ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
        Teacher  :  อาจารย์สอนเข้าใจง่าย  โดยการยกตัวอย่างประกอบ  และมีการให้ความรู้เพิ่มเติมนอกสไลด์





วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Lesson 3

        
บันทึกอนุทิน

วิชา  การจัดประสบการณ์การศึกษาเเบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
( Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood )
อารจารย์ผู้สอน  อ.กฤต  แจ่มถิน
ประจำวัน  พุธที่   27   มกราคม  2559
เรียนครั้งที่  3   เวลา  08.30 -12.30 น.

กลุ่ม  102  ห้อง 224






     Knowledge  (ความรู้)


              ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

   
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
    
   1. กลุ่มเด็กที่มีลักษะทางความสามารถสูง 
            มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"
      เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
  • เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญา
  • มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
    
    ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
  • พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
  • เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
  • อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
  • มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
  • จดจำได้รวดเร็วแม่นยำ
  • มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
  • มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลก ๆ 
  • เป็น้คนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
  • มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
  • ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน

    เด็กฉลาด
  • ตอบคำถาม
  • สนใจเรื่องที่ครูสนอ
  • ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน
  • ความจำดี
  • เรียนรู้ง่ายและเร็ว
  • เป็นผู้ฟังที่ดี
  • พอใจในผลงานของตน

   Gifted
  • ตั้งคำถาม
  • เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
  • ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
  • อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
  • เบื่อง่าย
  • ชอบเล่า
  • ติเตียนผลงานของตน

 2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
  1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
  2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
  3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
  4. เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
  5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
  6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
  7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
  8. เด็กออทิสตก
  9. เด็กพิการซ้อน

เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
       หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และ เด็กปัญญาอ่อน

   เด็กเรียนช้า
  • สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
  • เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
  • ขาดทักษะในการเรียนรู้
  • มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
  • มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
    สาเหตุของการเรียนช้า
     1. ภายนอก 
  • เศรษฐกิจของครอบครัว
  • การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
  • สภาะวะทางด้านอารณ์ของคนในครอบครัว
  • การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
  • วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
     2. ภายใน
  • พัฒนาการช้า
  • การเจ็บป่วย

    เด็กปัญญาอ่อน
  • ระดับสติปัญญาต่ำ
  • พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
  • มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง 
  • อาการแสดงก่อนอายุ 18



    พฤติกรรมการปรับตน
  • การสื่อความหมาย
  • การดูแลตนเอง
  • การดำรงชีวิตภายในบ้าน
  • การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
  • การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
  • การควบคุมตนเอง
  • การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
  • การใช้เวลาว่าง
  • การทำงาน 
  • การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น

เด็กปัญญาอ่อน แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม

     1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
  • ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
  • ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
  • แขนขาลีบ
     2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 C.M.R
  • ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้อต้นง่าย ๆ 
  • กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า  C.M.R (Custodial Mental Retardation)
     3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49 T.M.R
  • พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
  • สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
  • เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
     4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 E.M.R
  • เรียนในระดับประถมศึกษาได้
  • สามารถฝึกอีพและงานง่าย ๆ ได้
  • เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
  • ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
  • ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
  • ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงว่าย รอคอยไมม่ได้
  • ทำงานช้า
  • รุนแรง ไม่มีเหตุผลงอวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
  • ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

 ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome



     สาเหตุ
  • ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
  • ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21 )
     อาการ
  • ศีรษะเล็กและเบน คอสั้น
  • หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
  • ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
  • ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
  • เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
  • ช่องปากแคบ ลื้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
  • มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
  • เส้นลายมือตัดขวง นิ้วก้อยโค้งงอ
  • ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
  • มีความผิดปกติในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
  • บกพร่องทางสิตปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
  • มีปัญหาในการใช้ภาาษาและการพูด
  • อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
  • เป็นหมันในเพศชาย
  • ผู้หญิงสามารถท้องได้
     การตรวจวินิจฉัยก่อนกลุ่มอาการดาวน์
  • การเจาะเลือของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
  • อัลตราซาวด์
  • การตัดชิ้นเนื้อรก
  • การเจาะน้ำคร่ำ

เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired)


        หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก

    เด็กหูตึง  หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
     1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบหรือเสียงที่ไกล ๆ 
     2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
  • เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ตั้งใจในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
  • จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
  • มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไมัด ออกเสียงเพี้ยน
  • พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
     3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
  • เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
  • เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
  • มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
  • มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
  • พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยง บางคนไม่พูด
    4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
  • เด้กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
  • ได้ยินเฉพาะเสียงดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
  • การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง 
  • เด็กจะมีปัญาในการแยกเสียง
  • เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
  เด็กหูหนวก
  • เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
  • เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
  • ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
  • ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป



  ลักษะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
  • ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
  • ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
  • พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
  • พูด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
  • พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกิดความจำเป็น
  • เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
  • รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
  • มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
  • เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  • มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองช้าง
  • สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1-10 ของคนสายตาปกติ
  • มีลานสายตากว้าไม่เกิน 30 องศา

     จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท

     เด็กตาบอด
  • เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
  •  ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
  • มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60, 20-200 ลงมาถึงจนบอดสนิท
  • มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
           ** คนปกติจะมีลานสายตา 160 องศา ที่จะมองเห็นได้ **

     เด็กตาบอดไม่สนิท
  • เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
  • สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
  • เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20-60, 6/60 ,20-200 หรือน้อยกว่านั้น
  • มีลานสายตาโดยเฉลี่ยสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา


    ลักษะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
  • เดินงุ่มง่าม ซนและสะดุดวัตถุ
  • มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
  • มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
  • กัมศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
  • เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
  • ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
  • มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต




Skill  (ทักษะ)

      - ทักษะการคิดวิเคราะห์
      - ทักษะการตอบคำถาม


    Application  (การประยุกต์ใช้)

           นำความรู้ที่ได้เรียนไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนกับเด็กพิเศษ  เราจะต้องจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับอาการของเด็กเเต่ละคน สอนให้เด็กเข้าใจและสอนให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้


    Technical  Education  (เทคนิคการสอน)
     
        - เทคการใช้สื่อในการสอน
         -เทคนิคการอธิบาย
        - เทคนิคการใช้ตัวอย่าง


     Evaluation (การประเมิน)

        Self  :  ตั้งใจเรียน   แต่งกายเรียบร้อย  เข้าใจในเนื้อหาที่เรียน
        Friend  :  ตั้งใจเรียน  ให้ความร่วมือในการเรียน ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
        Teacher  :  อาจารย์สอนเข้าใจง่าย  โดยการยกตัวอย่างประกอบ  และมีการให้ความรู้เพิ่มเติมนอกสไลด์  เปิดวีดีโอให้ดูอาการของเด็กแต่ละประเภทเพื่อให้นักศึกษามีความเข้าใจมากขึ้น